วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่าวัยทอง


วัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่าวัยทองเป็นช่วงหนึ่งที่สำคัญของชีวิตผู้หญิง  ผู้หญิงหลายคนรู้สึกกังวลเรื่องนี้มากเพราะจะทำให้ตัวเองจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้านจนกลายเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ทั้งร่างกายและจิตใจด้วย  จึงส่งผลกระทบให้ผู้ที่อยู่ในวัยนี้มีอารมณ์ที่ผันผวนเป็นอย่างมาก  โดยปกติผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปแต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในแต่ละบุคคล  บางคนอาจจะเริ่มที่ช้ากว่านั้นหรือว่าบางคนอาจจะเร็วกกว่านั้น  เมื่อเข้าสู่วัยนี้ควรที่จะดูแลตัวเองให้เหมาะสมกับวัย  โดยข้อมูลที่จะนำเสนอมีดังนี้
                    เมื่ออายุเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน : โดยทั่วไปเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปประจำเดือนก็จะมาน้อยลง  และจะหมดไปภายใน 12 เดือนก็จะไม่มีหรือมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ในช่วงอายุนั้นอาจจะไม่สามารถกำหนดๆได้ว่าจะเริ่มเข้าสู่วัยทองแต่เมื่อไหร่ บางคนก็เริ่ม 40 บางคนก็เริ่ม 60 ปี  อายุที่เข้าสู่วันหมดประจำเดือนนั้นส่วนมากมักจะเท่ากับอายุของผู้เป็นแม่ของตัวเอง  เพราะฉะนั้นอยากรู้ว่าตัวเองจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเมื่อไหร่สามารถสังเกตจากผู้เป็นแม่ได้  โดยผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนจะมีอาการ  หงุดหงิดง่าย  ร้อนวูบวาบ  แต่ประจำเดือนก็ยังมาเป็นปกติ  อยู่ในช่วงที่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นเอง  พอสักระยะประจำเดือนก็จะเริ่มมาน้อยลงและมีระยะห่างขึ้น
                 น้ำหนักตัวเพิ่ม : เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนน้ำหนักตัวก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากฮอร์โมนเพศไม่สมดุล  ใช้พลังงานของร่างกายลดลง  ร่างกายจะเก็บไขมันไว้ที่ต้นขาบ้าง  ที่สะโพกบ้าง  น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  หากมีการควบคุมอาหารได้รับโภชนาการที่พอเหมาะ  ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอจะช่วยความคุมน้ำหนักได้
                  กระดูกไม่แข็งแรง : เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วจะมีอาการกระดูกเปราะบางเป็นอย่างมาก  และมีโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนสูง  หากไม่ป้องกันก็จะเกิดโรคไขข้ออักเสบ  ปวดกระดูก  และอาจจะหักได้ง่าย  หากต้องการลดความเสี่ยงต้องปรับปรุงคุณภาพในการดำรงชีวิต  การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม  และวิตามินดี  ออกกำลังจะช่วยได้
                    ความต้องการเพศลดลง : เนื่องจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนจะทำให้ร่างกายและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่คงที่ส่งผลทำให้น้ำที่ช่องคลอดลดน้อยลง  ทำให้เวลาร่วมเพศรู้สึกเจ็บ  และด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ทำให้ไม่ค่อยมีความต้องการหากเราพัฒนาทางด้านอารมณ์จะช่วยได้
สัญญาณแรกของการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน : โดยทั่วไปก็จะมีประจำเดือนที่ลดลง  และมีอาการต่างๆดังนี้
– เหนื่อยง่าย  อ่อนเพลีย  ไม่ค่อยมีแรง
– ประจำเดือนมาไม่ปกติ  หรือว่ามาเพียงเล็กน้อย
– มีอารมณ์วิตกวังวล  หงุดหงิด  แปรปรวน
– ผมร่วง
– มีความต้องการทางเพศลดลง
ช่วงอายุของวัยหมดประจำเดือน : ในช่วงเวลาเข้าสู่วัยนี้นั้นจะแล้วแต่ในแต่ละบุคคลโดยไม่เข้าเร็วหรือช้าไม่เท่ากัน  โดยมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยอย่างเช่น
– อายุของแม่ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน  ลูกก็จะเริ่มเข้าเช่นเดียวกับแม่
– การสูบบุหรี่จะทำให้เข้าสู่วัยนี้เร็วขึ้น
– การที่เคยตั้งครรภ์จะทำให้เกิดได้ช้า
– ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  จะทำให้เกิดเร็วขึ้น
             การดำเนินชีวิตของคนวัยหมดประจำเดือน : การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญ  ด้วยความไม่สมดุลต่างๆของร่างกายที่เกิด  จะต้องดูแลในทุกด้วย  เอาใจใส่ในเรื่องของอาหาร  อารมณ์ที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว  อาการต่างๆของร่างกาน  ควรได้รับอาการที่เหมาะสมอย่างเช่นถั่วเหลืองที่ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน  และอาหารอย่างอื่นที่ได้รับจากธรรมชาติ
            สมุนไพรที่เหมาะสมกับวัยหมดประจำเดือน : อาการต่างๆที่ผิดปกติบรรเทาอาการผิดปกติของร่างกายได้  สมุนไพรที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายมีความสมดุล  และจะทำให้ร่างกายไม่ต้องพึ่งยา  อย่างเช่น  สะระแหน่  จะช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ  ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดี  ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี  ทำให้ร่างกายได้รับ  ฟอสฟอรัส  แมงกานีส  และวิตามินต่างๆ
             อาหารที่เหมาะสมกับวัยหมดประจำเดือน : ความรุนแรงที่เกิดจากผลข้างเคียงของวัยทองขึ้นอยู่กับผู้หญิงในแต่ละคนการรับประทานที่ถูกต้องตามโภชนาการจะช่วยปรับความสมดุลให้กับร่างกายตัวเองได้   โดยแนะนำดังนี้
  • อาการที่ไขมันต่ำ จะช่วยให้รักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นง่าย  และควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง
  • อาหารต่างๆที่เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน อย่างเช่นถั่วเหลือง  ลูกพรุน  สเตอเบอรี่ องุ่น  ส้ม  ส้มโอ  ลูกแพร์  แอปเปิ้ล แครอท  แตงกวา  กะหล่ำปลี  จะช่วยให้ความสมดุลของฮอร์โมนได้ดีขึ้น
  • อาหารที่มีกรดโฟลิก โปรตีน  วิตามินบี 6 แคลเซียม  จะเหมาะสมและเสริมสร้างความเสี่ยงที่เกิดจากวัยนี้ได้
              นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีอื่นที่มีความจำเป็นในการบำรุงรักษาสุขภาพของวัยหมดประจำเดือน ได้แก่  การออกกำลังกาย  ลดความเครียดจากการพักผ่อนให้เพียงพอ  การนั่งสมาธิ  ปรับสภาพจิตใจ  และการปรึกษาแพทย์จะทำให้ผ่านช่วงได้ไม่ยาก

NCDs กลุ่มโรคที่คุณสร้างเอง


กลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นชื่อเรียกกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสคลุกคลี หรือติดต่อผ่านตัวนำโรค (พาหะ) ตลอดจนสารคัดหลั่งต่างๆ แต่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ภายในร่างกาย
ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากไลฟ์สไตล์วิธีการใช้ชีวิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย กินอาหารหวานมันเค็มจัด และมีภาวะเครียด หากเราสามารถลดหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ได้ก็จะลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นกลุ่มโรค NCDs ได้มากถึง 80% ทั้งยังลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่เกิดจากการที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ป่วยต้องมีการควบคุมอาหาร การใช้ยาชนิดกินหรือใช้อินซูลินชนิดฉีด
โรคไม่ติดต่อเรื้อรังมักจะค่อยๆ แสดงอาการ และรุนแรงขึ้นทีละน้อยหากไม่ได้มีการรักษาควบคุม ซึ่งองค์กรอนามัยโลก (WHO) เล็งเห็นว่ากลุ่มโรค NCDs ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยสังเกตจากสถิติผู้เสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCDs สำหรับสถิติในประเทศไทยพบว่า มีประชากรมากถึง 14 ล้านคน ที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs และที่สำคัญยังเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของประชากรทั้งประเทศ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 200,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับโรคในกลุ่ม NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงสุด 6 โรค ได้แก่ 1) โรคเบาหวาน 2) โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 3) โรคถุงลมโป่งพอง 4) โรคมะเร็ง 5) โรคความดันโลหิตสูง และ 6) โรคอ้วนลงพุง

ผักชีมีดีกว่า..โรยหน้า



สีเขียวและกลิ่นหอมของ "ผักชี" ช่วยขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง ในขณะที่ "กุยช่าย" มีกากใยช่วยระบายของเสีย มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงค่ะ ส่วนใครที่ชอบ "ผักกาดหัว" รู้ไว้เถิดว่ามันช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรค มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดีค่ะ

5 วิธีหยุดเป็นคนที่เอาใจคนอื่นมากเกินไป


หนึ่งในความรู้สึกที่จะทำให้เราเป็นอิสระที่สุดที่เราจะเรียนรู้ได้ในชีวิต ก็คือเราไม่จำเป็นต้องชอบทุกคนและทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องชอบเราเหมือนกัน หากคุณเป็นคนที่ยอมให้ความต้องการของคนอื่นมาก่อนตัวเองเสมอ คุณคือพวกขี้เอาใจคนอื่น ซึ่งมักจะกลายเป็นนิสัยที่ทำร้ายคุณเพราะ.....
คุณพูดว่า ‘ตกลง’ ‘ได้’ ‘ใช่’ กับบางสิ่งที่คุณไม่ได้อยากทำจริงๆ เพื่อที่จะทำให้ใครบางคนมีความสุข แต่คุณกลับรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ แต่ยังคงทำแบบนั้นต่อไป คุณรู้สึกหมดแรงและว่างเปล่า เมื่อไหร่ที่คุณบอกว่า ‘ไม่’ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) และนี่คือ 5 วิธีและแนวคิดหยุดเป็นคนที่เอาใจคนอื่นจนเกินไป
1. อยู่กับความจริง ความจริงที่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบคุณและก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าใครสักคนจะไม่ชอบคุณอีกคน
เมื่อไหร่ที่ดิฉันรู้สึกว่าสัญชาตญาณแห่งการเอาใจคนอื่นโผล่ขึ้นมาละก็ ดิฉันจะใช้เวลาระลึกว่า ‘มันไม่เป็นอะไรเลยถ้าจะมีคนไม่ชอบฉัน เพราะฉันไม่ได้ชอบทุกคน และทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องชอบฉัน’ โดยพื้นฐานแล้ว เมื่อคนชอบคุณ คุณก็จะชอบตัวเอง เมื่อไหร่ที่เขาไม่ชอบคุณ ความเห็นเกี่ยวกับตัวเองของคุณก็จะตกตามไปด้วย วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความต้องการการยอมรับจากคนอื่นเพื่อจะได้รักตัวเองนั้น คือการเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-esteem)
2. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธในวิธีที่คุณรู้สึกดี (และไม่ต้องขอโทษ)
‘ไม่’ เป็นคำที่พวกเราควรใช้ให้บ่อยขึ้น แล้วก็ไม่ต้องขอโทษหลายรอบมากเพราะคุณพูดว่าไม่ จงปฏิเสธในวิธีที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง แต่ชัดเจนและมั่นคง คุณไม่จำเป็นต้องตอบแค่คนเดียว แต่ควรจะจริงใจ เช่น ฉันอยากจะช่วยนะ แต่เสียดายที่ฉันจองเป็นวันของตัวเองไปแล้ว หรือ ฟังดูเป็นโอกาสที่สุดยอดมาก แต่ฉันคิดว่าใครบางคนอาจจะช่วยได้ดีกว่านะ จงยืนหยัดกับคำพูดแรกเริ่มของคุณ แล้วถ้าใครพยายามจะต่อรอง เพียงแค่ยืนยัน พูดซ้ำคำตอบเดิมอย่างมั่นคงก็พอ
3. จงยอมรับว่าคุณจะรู้สึกผิดหากคุณปฏิเสธกับบางสิ่งในช่วงสองสามครั้งแรก
เรามักรู้สึกผิดเวลาที่ต้องปฏิเสธคำขอร้อง คุณอาจรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า หรือคุณทำให้ใครผิดหวังหรือเปล่า นี่คือความรู้สึกผิด ที่ผิดที่ผิดทาง คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ แล้วคนนั้นก็จะสามารถหาใครคนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของเขาได้ในที่สุดเอง เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกผิด จงโอบรับความรู้สึกนั้น
4. เริ่มสร้างเส้นเขตแดน
ไม่ผิดที่จะคิดถึงตัวเองก่อน เพราะคุณจะมีความสุขขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น และน่าทึ่งมากขึ้น ถ้าคุณเป็นแบบนั้นวิธีดีที่สุดที่จะทำได้คืออะไร? กำหนดขอบเขตอาณาบริเวณสำหรับตัวเอง เช่น การนอนให้พอ สำคัญสำหรับฉัน ถ้าอะไรทำให้ฉันนอน 8 ชม. ต่อคืนไม่ได้ฉันจะปฏิเสธ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คลื่นพลังงานลบ ถ้าหากมีอะไรส่งมาให้เราเข้าใกล้กับคลื่นพลังงานลบ ฉันจะไม่ทำ ถ้ามีอะไรมาสกัดขัดขวางฉันจากคุณค่าแห่งความซื่อสัตย์และศีลธรรมของฉัน ฉันจะปฏิเสธ
เริ่มโดยจัดตัวเอง 4-5 เส้นเขตแดนก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วฝึกเส้นเขตแดนก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วฝึกสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นตลอดช่วง 2-3 เดือน คุณจะสามารถเพิ่มรายการขึ้น แล้วค่อยๆ สร้างขอบเขตที่ทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่คุณยอมรับได้และอะไรที่คุณยอมรับไม่ได้ในชีวิต
5. ลาขาดจากมนุษย์ที่หลอกใช้ความใจอ่อนของคุณ
มีคนที่พยายามเอาเปรียบคุณจากพื้นฐานการเป็นคนดีของคุณ เมื่อไหร่ที่เราเพิ่มระดับการเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มให้เกียรติตัวเอง ให้เอกสิทธิ์กับตัวเอง คุณจะเริ่มเห็นคนที่พยายามลักลอบใช้ความที่คุณชอบตามใจคนอื่นมาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาจะเป็นคนที่พยายามล้ำเส้นคุณ ไม่ว่าคุณจะปฏิเสธกี่ครั้งก็ตามเขาก็จะล้ำเส้นอยู่เสมอ สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ ปล่อยให้คนเหล่านี้ล้มหายตายจากไปจากชีวิตของคุณ แล้วยอมรับบทเรียนที่พวกเขาสอนเกี่ยวกับคุณว่า คุณคือใคร อะไรที่คุณต้องการในชีวิต

10 วิธีเลือกหูฟัง สำหรับนักกีฬา


เพราะการฟังเพลงระหว่างการออกกำลังกาย หลายคนเชื่อว่านอกจากจะช่วยสร้างความเพลิดเพลินแล้ว ยังทำให้มีสมาธิ และจิตใจไม่จดจ่อกับสิ่งเร้าภายนอก ช่วยให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น
ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการฟังเพลงและมีความปลอดภัยในระหว่างออกกำลังกาย ขอแนะนำ 10 เคล็ดลับการเลือกหูฟังคู่ใจที่เหมาะสมกับการออกกำลังกายที่ดี และวิธีการรักษาที่ช่วยยืดอายุหูฟังมาฝากกัน
1.ควรเลือกหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ เพราะหูฟังจะออกแบบมาให้สายและวัสดุมีความแข็งแรงกว่าปกติ ไม่เปราะบางขาดง่าย ตอบสนองการใช้งานในสภาวะที่หลากรูปแบบ โดยเฉพาะกีฬาแอ็กทีฟ
2.เลือกหูฟังเพื่อการออกกำลังกายที่ระบุว่าสามารถกันน้ำหรือกันความชื้นได้ เพราะขณะที่เราออกกำลังกาย จะมีเหงื่อเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นหูฟังที่กันน้ำได้จะช่วยให้มีอายุการใช้งานที่นานกว่าหูฟังธรรมดา
3.เลือกหูฟังที่หุ้มด้วยจุกยางดีกว่าฟองน้ำ ในเวลาที่ออกกำลังกายหนักหรือต่อเนื่องนานๆ เหงื่อที่ออกมาจะซึมเข้าหูฟังทำให้ไดร์เวอร์ลำโพงชำรุดเสียหายได้เร็ว และเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ก่อให้เกิดความสกปรกและเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอีกด้วย
4.ควรลองใส่ ก่อนตัดสินใจซื้อหูฟังควรลองและสะบัดหัวไป-มา หรือขยับร่างกายจำลองการออกกำลังกายจริงๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เมื่อคุณใส่แล้วแน่นกระชับกับสรีระของหูของเราได้ดี หูฟังจะไม่หลุดจากหูบ่อยๆ เวลาใช้งาน
5.ปัจจุบันหูฟังมีให้เลือกหลายราคา แต่แนะนำว่าให้เลือกแบรนด์ที่มีประกัน การเลือกซื้อหูฟังต้องเลือกแบรนด์ที่มีการรับประกันนานไม่น้อยกว่า 1 ปี เคลมประกันง่าย หากชำรุดเสียหายจะได้ซ่อมแซมที่เหมาะสม
6.ปัจจุบันมีหูฟังเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ มีแบบฝังแม่เหล็กที่หูฟังด้วย ประโยชน์คือ สามารถคล้องคอได้ระหว่างออกกำลังกายและไม่อยากใช้หูฟังในขณะใดขณะหนึ่ง ช่วยอำนวยความสะดวกในการพกพา
7.ผู้ที่ออกกำลังกายแนว Adventure เช่น วิ่งมาราธอน วิ่งวิบาก ปีนเขา เข้าป่า ควรเลือกหูฟังรุ่นที่สายถักทอด้วยเส้นใยเคฟลาร์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของสายให้มีความทนทานต่อทุกสภาวะยิ่งขึ้น หูฟังบางชนิดมีสายเคลือบเรืองแสงทำให้ปลอดภัยในเวลากลางคืนแล้วยังได้ยินเสียงจากภายนอก ทำให้ไม่เกิดอันตรายในเวลาออกกำลังกาย
8.แนวเสียงที่ใช้ฟังในการออกกำลังกายควรเป็นเพลงดนตรีแนวมันๆ เน้นเบส เพื่อความฮึกเหิมและแรงบันดาลใจให้รู้สึกอยากออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
9.สำหรับนักวิ่ง เวลาวิ่งมักจะสอดหูฟังไว้ในเสื้อ เพื่อที่เวลาวิ่งสายจะได้ไม่กระเด้งกระทบตัวให้รำคาญ แต่ข้อเสียคือ หากเป็นหูฟังที่มี Small Talk ด้วย หากโดนความชื้นนานๆ อาจจะชอร์ตและชำรุดได้ เพราะฉะนั้นควรจะเลือกหูฟังที่ทนต่อความชื้นสูงด้วย
10.วิธีเก็บรักษา เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้ว ควรเช็ดหูฟังด้วยผ้าสะอาดนุ่ม ที่บิดหมาดๆ ถอดจุกยางออกมาล้างแล้วผึ่งให้แห้งก่อนเก็บใส่กล่องหรือถุงสำหรับหูฟัง ไม่ควรม้วนสายหูฟังจนแน่นจนสายหัก เพราะจะทำให้สายทองแดงที่อยู่ด้านในหักด้วย

คอแลน : บำรุงเลือด


ชื่ออื่นๆ: หมักแวว หมากแงว แงว มะแงะ ลิ้นจี่ป่า คอแลนตัวผู้ คอรั้ง กะเบน ฯลฯ คอแลนพบตามป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณ ออกดอกและติดผลช่วงฤดูร้อน ผลคอแลนดีต่อสุขภาพร่างกายมากมาย เช่น ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน เนื้อเยื่อกระดูกอ่อน อีกทั้งคอแลนยังเป็นแหล่งของแคลเซียมที่ช่วยเรื่องกระดูกและฟัน
ตำรับยาพื้นบ้าน
- แก่น ฝนกับน้ำ ผสมสมุนไพรอื่นๆ รวม 35 ชนิด กินแก้ไข้หมากไม้ ไข้เปลี่ยนฤดู ไข้หวัดใหญ่
- ผลแก่ กินได้ เป็นยาระบาย มีรสเปรี้ยวจัด นิยมกินกับน้ำปลา เกลือ หรือน้ำปลาหวาน
- เนื้อไม้ รสฝาด ปรุงเป็นยาห้ามเลือด
- ผล เป็นยากระจายเลือด
- เปลือก เป็นยาบำรุงเลือด
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **

ทำเข็มกลัดโบไว้ทุกข์ ติดเสื้อง่ายๆ

ทำเข็มกลัดโบไว้ทุกข์ ติดเสื้อง่ายๆ


รวมวิธีการทำเข็มกลัดโบไว้ทุกข์ ติดเสื้อง่ายๆ เพื่อให้ประชาชนแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
คนไทยขึ้นชื่อเรื่องน้ำใจ มีอะไรที่ช่วยได้ก็ทำกันอย่างเต็มที่ หลังจากที่ประชาชนชาวไทยใจสลายกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแบบนี้ น้ำใจคนไทยมีมาเรื่อยๆ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไป ไม่ว่าจะแจกข้าว แจกน้ำ แจกขนม รับส่งฟรีไปวัดพระแก้ว และอีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจคือ การทำโบไว้ทุกข์แจกฟรี...
เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์นำขั้นตอนการทำแบบง่ายๆ จาก ครูจอย - อัจฉรา กล้ากสิการณ์ ฉายา “คุณครูริบบิ้น” เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเฟจ สุวรรณเหรียญโปรยทาน มาฝากกัน...
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ริบบิ้นดำ
2. เข็มกลัด
3. ปืนกาว กาวร้อน
4. เข็ม, ด้ายสีดำ



ขั้นตอนการทำเข็มกลัดโบไว้ทุกข์แบบที่ 1
1. นำริบบิ้นยาว 20-25 ซม. หน้ากว้างประมาณ 1.3 ซม.
2. ยิงกาวร้อนบริเวณเกือบปลายริบบิ้น
3. นำริบบิ้นมาติดไขว้ขวาทับซ้ายดังรูป
4. ยิงกาวที่เข็มกลัด
5. นำเข็มกลัดไปติดตรงกลางรอยไขว้ของริบบิ้น
6. ตัดปลายริบบิ้นแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
** หมายเหตุ ถ้าไม่มีปืนกาวใช้เข็มกับด้ายเย็บเข็มกลัดเข้ากับริบบิ้นได้



สะเดาผักพื้นบ้าน


สะเดาผักพื้นบ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความขมเป็นเอกลักษณ์ เป็นเมนูผักพื้นบ้านริมรั้วที่หากินได้ตามฤดูกาล ปลอดภัยจากสารพิษ การกินสะเดานิยมนำมาลวกน้ำก่อนแล้วนำไปกินคู่กับน้ำพริกที่อร่อยลงตัวอย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน หรือจะน้ำพริกอื่นๆ ก็อร่อยเช่นกัน ทั้งนี้ยอดอ่อนและดอกสะเดาแม้จะมีรสขม
แต่จัดสุดยอดสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งดังคำพังเพยคนโบราณ "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ช่วยบรรเทาอาการไข้ ลดความร้อน บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ทั้งนี้หากต้องการลดความขมของสะเดาให้นำไปล้างน้ำให้สะอาดลวกในน้ำเดือดสัก 2 ครั้ง เพื่อให้ความขมออกไปบางส่วน จะได้ไม่ขมมากเกินไปแล้วนำไปแช่น้ำเย็นเพื่อให้ผักมีสีเขียวสดน่ากิน

4 โรคแถม จากอาการปวดหัวไมเกรน

ไมเกรน อาการปวดหัวที่ไม่ได้แค่สร้างความทรมานปนรำคาญเท่านั้น หากเป็นนานๆ จะส่งผลระยะยาวกว่าที่คุณคิด เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า เป็นสาเหตุของโรคสำคัญถึง 4 โรค ดังนี้
1.โรคอัมพาตใบหน้า
มีข้อมูลล่าสุดจาก งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal Neurology พบว่า ผู้ป่วยไมเกรนมากกว่าครึ่งหนึ่งมีความความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอัมพาตใบ หน้า (Bell’s palsy)
2.โรคซึมเศร้า
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งคัลการี ประเทศแคนนาดา พบว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าสูง และหากมีอาการปวดไมเกรนร่วมด้วย ยิ่งจะส่งผลให้โรคซึมเศร้ากำเริบรุนแรงขึ้น
3.โรคพาร์กินสัน
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ของกองทัพทหาร แห่งประเทศสหรัฐบอเมริกา ระบุว่า ผู้ป่วยที่เห็นแสงระยิบระยับ แล้วมีอาการปวดไมเกรน โดยเฉพาะในวัยกลางคน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสันมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า โดยนักวิจัยพบว่า สารสื่อประสาทโดปามีนที่เกี่ยวข้องกับการเป็นไมเกรนและโรคพาร์กินสันเป็นต้น เหตุสำคัญ
4. โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal Neurology ระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนโดยเฉพาะผู้หญิงที่เห็นแสงระยิบระยับแล้วมีอาการจะมีความ เสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและระบบหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มากถึง 400 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้โรคและอาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนมีความสัมพันธ์กับการเกิดไมเกรน แต่นักวิจัยก็ยังไม่ฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้นการป้องกันโรคไมเกรนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำได้โดยกินอาหารชีวจิตและหมั่นออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ ไม่ว่าไมเกรนหรือโรคร้ายชนิดใดก็ไม่กล้าเข้ามาจู่โจมแน่นอนครับ

น้ำเต้า : ควบคุมเบาหวาน



คนไทยกินผลน้ำเต้าอ่อนต้มกับน้ำพริก ผัดกับหมูใส่ไข่ ผลอ่อน ยอดอ่อนใช้แกงส้มกับปลาเนื้ออ่อน หรือกุ้งสด รสชาติอร่อยมาก แพทย์แผนไทยใช้ใบสดโขลกผสมกับเหล้าขาว แก้เริม งูสวัดได้ดีมาก น้ำคั้นของน้ำเต้ามีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและแผลกระเพาะอาหาร ชาวจีนและอินเดียใช้ประกอบอาหารให้ผู้ป่วยเบาหวาน ควบคุมน้ำหนัก และช่วยลดความดันโลหิตสูง
สรรพคุณทางยาสมุนไพร
- ใบสด โขลกคั้นน้ำ ทาแก้ฟกช้ำบวม แก้โรคผิวหนัง แก้เริม งูสวัด พุพอง
- ใบแห้ง ปรุงเป็นยาเขียวดับพิษไข้ พิษอักเสบ แก้ตัวร้อน ร้อนใน กระหายน้ำ
- ราก แก้ดีแห้ง ขับน้ำดีให้ตกในลำไส้ เจริญอาหาร
- เนื้อหุ้มเมล็ด ใช้ทำให้อาเจียน เป็นยาระบาย
- เมล็ด ถ่ายพยาธิ แก้บวมน้ำ ในประเทศจีนนำไปต้มกับเกลือกินเป็นยาเจริญอาหาร
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **

กระเทียม : รักษาโรคหัวใจ


ปัจจุบันโรคหัวใจกำลังเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของประชากรทั่วโลก สำนักงานสถิติแห่งชาติได้แสดงให้เห็นว่าใน พ.ศ. 2554 โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายของประชากรไทย 20,130 คน จากประชากรที่ตายทั้งหมด 414,667 คน (ร้อยละ 4.8 ของการตายทั้งหมด) เนื่องจากโรคที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ จากโรคระบบหลอดเลือดหัวใจภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ มีสาเหตุมาจากระดับไขมันเลวสูงกว่าค่าปกติ ประกอบกับเซลล์บุผนังหลอดเลือดมีความปกติ เกิดก้อนเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดค่อยๆ แข็งและตีบตัน การส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยลง ปริมาณออกซิเจนที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดส่วนสมุนไพรที่สามารถใช้ในการรักษาโรคนี้ ได้แก่ กระเทียม
กระเทียม เป็นอาหารและสมุนไพรที่มีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ตำรายาจีนระบุว่ากระเทียมมีฤทธิ์ร้อน รสเผ็ด ช่วยเจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ แก้บิด แก้ไอ กลากเกลื้อน มีงานวิจัยในคนหลายงานพบว่า กระเทียมสามารถช่วยลดระดับไขมันเลวในเลือด ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับของไขมันชนิดดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ กระเทียมยังมีฤทธิ์ลดความดันเลือดอีกด้วย
ปริมาณกระเทียมที่แนะนำให้ใช้เพื่อฤทธิ์ดังกล่าว คือ กระเทียมสด 2-5 กรัมต่อวัน โดยกินพร้อมอาหารเพื่อลดอาการคลื่นไส้อาเจียน  เวลากินให้บดกระเทียมให้ละเอียด และกินทันที ข้อเสียจากการกินกระเทียม คือ กลิ่นปาก ซึ่งสามารถใช้การเคี้ยวใบชาแก่ๆ บ้วนปากหลังจากกินกระเทียม
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **